ทำความเข้าใจ กินเจห้ามกินอะไรบ้าง กิมจิเจไหม กินเจปี 2566

16
ต.ค.
ประเทศไทย นับเป็นประเทศที่มีคนไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่อถึงวันสำคัญตามประเพณีจีน ประเทศไทยของเราก็จะคึกคักตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นวันตรุษจีน วันสารทจีน วันเช็งเม้ง รวมถึงเทศกาลถือศีลกินเจของเราด้วย
หลายคนเข้ามาเพราะสงสัยว่า การกินเจห้ามกินอะไรบ้าง กิมจิเจไหม ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วในบทความนี้ ผมจะพาเพื่อนๆ ไปลงลึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ รวมถึงตอบคำถามที่เพื่อนๆ สงสัยกันตั้งแต่ต้น รับรองว่าจะได้ทั้งความสนุก และสาระน่ารู้เกี่ยวกับเทศกาลกินเจกันอย่างแน่นอนครับ
ช่วงเทศกาลกินเจ (Vegetarian festival) ของทุกปี จะตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ ตามปฏิทินของจีน ซึ่งตรงกับเดือนตุลาคมของประเทศไทยเราตามปฏิทินสากล รวมเป็น 9 วัน 9 คืน ซึ่งเป็นช่วงเวลา และเป็นตัวเลขที่มงคลตามความเชื่อของคนจีนโบราณเกี่ยวกับเคราะห์กรรม และความเป็นความตาย
เทศกาลกินเจในปี 2566 ตรงกับวันที่ 15-23 ตุลาคม ผมเชื่อว่าหลายคนอาจจะเริ่มล้างท้องกันไปตั้งแต่วันที่ 14 กันแล้วใช่ไหมครับ
ปัจจุบันผู้คนหันมากินเจกันเป็นจำนวนมาก โดยจุดประสงค์ก็จะแตกต่างกันออกไป บางคนกินเจเพื่อสุขภาพ บางคนกินเจด้วยจิตใจที่เมตตา ไม่อยากเบียดเบียนสัตว์โลกน
ส่วนตัวผมเองก็กินเจเช่นกัน เหตุผลเพียงเพราะว่าผมนับถือเจ้าแม่กวนอิมมาตั้งแต่เด็กครับ
อาหารเจ เป็นอาหารที่ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากสัตว์ รวมถึงผักที่มีกลิ่นฉุน เช่น กระเทียม หอมทุกชนิด กุยช่าย เป็นต้น สรุปง่ายๆ เทศกาลถือศีลกินเจก็คือ การรับประทานอาหารที่ไม่มีส่วนผสมจากสัตว์ หมายถึงการไม่เบียดเบียนสัตว์โลก และการรักษาศีล 8 ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ครับ
ถ้าให้เปรียบเทียบกิมจิ กับ อาหารบ้านเรา ผมคงจะนึกถึงผักดองสักชนิดที่นำมาคลุกกับน้ำพริกซ้ำอีกรอบ เพราะหน้าตาและรสชาติของมันคงจะคล้ายกัน กิมจินั้นเป็นเครื่องเคียงในอาหารเกาหลี ที่ได้รับความนิยมที่สุด ก่อนจะไปตอบคำถามทุกคนที่ว่า กิมจิเจไหม เรามาดูส่วนผสมของมันกันก่อน เพื่อที่เราจะได้คำตอบชัดขึ้นกันครับ
ส่วนผสมหลักในการทำกิมจิแบบต้นตำรับเกาหลีแบบละเอียด จะประกอบด้วย ผักกาดขาว แครอท หัวไชเท้า ต้นหอม เกลือ พริก ขิง สาลี่ น้ำตาล และน้ำปลา ครับ พอไล่เลียงส่วนผสมมาแบบละเอียดแล้ว พอจะได้คำตอบกันแบบลางๆ แล้วใช่ไหมครับ เพราะเพียงแค่ส่วนผสมอย่างน้ำปลา มันก็ไม่เจแล้วครับ
แต่เดี๋ยวก่อนครับทุกคน อย่าพึ่งด่วนตัดสินใจ เนื่องจากสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์เรา คงไม่ใช่เรื่องยากหากเราอยากจะทานกิมจิในช่วงเทศกาลกินเจ แน่นอนว่าปัจจุบันเทคโนโลยีเราก้าวหน้าในทุกๆ ด้านครับ การทำกิมจิให้อยู่ในรูปแบบเจ จึงเกิดขึ้นมากมาย แถมรสชาติก็ไม่ได้ต่างกันเลยครับ
หลังจากที่เราลากยาวมาตั้งแต่เรื่องการกินเจ จนถึงส่วนประกอบการทำกิมจิ ทำให้สรุปได้กับคำถามที่ว่า กิมจิเจไหม ผมขอตอบตรงนี้เลยว่า กิมจิมีทั้งแบบเจ แล้วก็ไม่เจครับ ขึ้นอยู่กับส่วนผสมในแต่ละสูตรที่ทำกิมจินั้นๆ ครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ ที่ทานเจ แต่สงสัยว่ากินกิมจิได้ไหมนะครับ ทั้งนี้เพื่อนๆ ก็ควรระวังกันด้วยสำหรับคนที่ซื้อกิมจิไม่ได้ทำเอง ควรอ่านฉลากให้ละเอียด หรือสอบถามกับพ่อค้าแม่ค้าให้ดีว่ามีส่วนผสมที่ทำให้ผิดต่อหลักกินเจหรือเปล่า แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด แนะนำให้เพื่อนๆ ทำกิมจิเจทานเองเพื่อความสบายใจของเรานะครับ
สำหรับคนชอบทานกิมจิ มิสเตอร์เคเราก็อยากนำเสนอวิธีทำกิมจิแบบจัดเต็ม รสชาติจัดจ้านแบบเกาหลีดั้งเดิม ทำง่าย ไม่ยุ่งยาก คลิกที่บทความด้านล่างนี้เลย (แต่บอกก่อนนะว่า สูตรนี้ไม่เจนะครับ)
วิธีการทำกิมจิฉบับสมบูรณ์ ที่รวมทั้งการทำซอสกิมจิ 4 แบบ และ วิธีการกิมจิกว่า 10 ชนิด คำถามที่พบบ่อย และทุกๆ เรื่องที่เกี่ยวกับกิมจิ
1. ผักที่มีกลิ่นฉุน
ผักกลิ่นฉุนต้องห้ามในช่วงเทศกาลกินเจนั้นมีทั้งหมด 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม ทั้งหัวและต้น หัวหอมทุกชนิด กุยช่าย (Garlic chives) หลักเกียว (กระเทียมโทนจีน) และใบยาสูบ ครับ
2. ผลิตภัณฑ์ อาหารสำเร็จรูป ที่มาจากสัตว์
เช่น นม น้ำผึ้ง เจลาติน คอลลาเจน น้ำมันหมู เป็นต้น
3. เนื้อสัตว์ทุกชนิด
แต่ก็มีบางตำนานที่บอกว่าสามารถทานหอยนางรมได้ เนื่องจากหอยนางรมนั้นอุทิศตัวเองเป็นอาหารเพื่อช่วยชีวิตให้กับเจ้าแม่กวนอิม (องค์หญิงเมี่ยวซ่าน) ระหว่างที่ท่านเดินทางด้วยเรืออยู่กลางทะเลอันกว้างใหญ่ แล้วไม่มีอาหารกินครับ
4. งดเว้นการกินอาหารรสจัด
เช่น รสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด หรือหวานจัด เนื่องจากเชื่อว่าอาหารเหล่านี้จะเข้าไปทำลายสุขภาพในร่างกาย แต่ถึงอย่างไรก็ตามมีคนบางกลุ่มที่ปฏิบัติไม่เคร่งครัดมากนัก ก็ยังคงทานอาหารประเภทนี้ในช่วงถือศีลกินเจอยู่
5. งดเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และของมึนเมาทุกชนิด
ข้อสำคัญที่ควรละเว้น เพราะปกติการดื่มหรือเสพของมึนเมาก็ผิดศีล 5 อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ช่วงที่ถือศีลกินเจก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่งครับ
ความลับ ที่ไม่ลับ หลากหลายเรื่องราวที่คุณอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับเทศกาลกินเจ ตั้งแต่สมัยจีนโบราณ ต้นกำเนิดของวัฒนธรรม การถือศีลกินเจ
1. กินเจเพื่อที่จะได้เข้าพบเทพเจ้า
คนจีนสมัยโบราณเชื่อว่า ผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ จะได้เข้าพบกับเทพเจ้าเพื่อพูดคุย ขอพรกับเทพเจ้าให้สมหวังดังปราถณาได้ ทำให้คนจีนในยุคนั้นจึงมักอาบน้ำ แต่งตัวให้สะอาด ถือศีล ละเว้นความชั่ว แล้วก็กินเจ นั่นเองครับ
2. การกินเจในสมัยราชวงศ์ฮั่น
สมัยราชวงศ์ฮั่น (Han dynasty) ได้เกิดเส้นทางสายไหมขึ้นมา ผัก และผลไม้ จากประเทศอื่นๆ จึงหลั่งไหลเข้ามาในประเทศจีนมากขึ้น รวมถึงการคิดค้นเต้าหู้ และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ก็เกิดขึ้นในยุคนี้ด้วยครับ ดังนั้นทางเลือกในการกินเจจึงมีมากขึ้น ทำให้การกินเจในยุคนี้ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย
3. ทำไมถึงต้องกินเจเดือน 9
เป็นความเชื่อของคนจีนสมัยโบราณ ในเรื่องของเคราะห์กรรม ควบคู่ไปกับดาวนพเคราะห์ (เทพเจ้าปักเป้า) ซึ่งเป็นเทพที่ดูแลเกี่ยวกับความตายของมนุษย์ ตามปฏิทินจีน ในช่วงเดือน 9 กลุ่มดาวนพเคราะห์นั้นจะเคลื่อนที่มาอยู่บริเวณขอบฟ้าพอดี ทำให้เห็นได้ชัด ด้วยความเชื่อนี้ผู้คนจึงถือศีลกินเจในเดือนนี้ เพื่อให้เทพเจ้าแห่งความตายได้เห็นความดี
4. กินเจแค่ 7 วัน
หลายๆ คนคงไม่รู้ใช่ไหมครับว่า เมื่อก่อนคนจีนเขากินเจกันแค่ 7 วัน ไม่ใช่ 9 วัน เหมือนกับปัจจุบัน ด้วยเรื่องความเชื่ออีกแล้วครับ คนจีนยุคโบราณบอกว่าเลข 7 เป็นเลขที่ไม่มงคล พวกเขาจึงรวมดาวอีก 2 ดวงที่อยู่ใกล้เคียงกับกลุ่มดาวปักเป้าที่พวกเขานับถือ (เดิมทีมี 7 ดวง) รวมเป็น 9 ดวง จึงเป็นที่มาของการกินเจ 9 วัน ในเดือน 9 นั่นเองครับ
ถึงอย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของตำนานเรื่องเล่าของจีนที่เชื่อต่อๆ กันมา ยังมีอีกหลายตำนานและความเชื่อเกี่ยวกับเทสกาลกินเจ ไว้โอกาสหน้าผมจะรวบรวมเรื่องราว และมาเขียนให้เพื่อนๆ อ่านกันเพิ่มเติมนะครับ
อิ่มบุญ อิ่มเจกันครบ 9วันแล้ว มาทำของอร่อยๆ กับมิสเคกินกันนะ ที่นี่เรารวบรวมสูตรการทำอาหารเกาหลี – ญี่ปุ่น ไว้มากมาย เลือกเมนูที่คุณชื่นชอบ แล้วเข้าครัวไปด้วยกัน คลิกเลย!!
รวมสูตรอาหารเกาหลีหลากหลายประเภท ทั้งเครื่องเคียง จานหลัก และของหวาน พร้อมเคล็ดลับการทำอาหารเกาหลีมากมาย จากเชฟมืออาชีพ
GURU มิสเตอร์เค กิมจิ ผู้ชื่นชอบในการเขียน และทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ
Senior Blogger | Graphic Designer
เมื่อซื้อครบ 200 บาท ขึ้นไป
สินค้าคุณภาพ 100%
ฟรี!! ค่าธรรมเนียม
ฟรี!! เก็บปลายทาง
กับเชฟผู้เชี่ยวชาญ