กระเจี๊ยบเขียว เป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณมากมาย และตัวฝักยังมีรสชาติที่กรอบ อร่อย ทำให้กระเจี๊ยบเขียวกลายเป็นผักอย่างนึงที่เห็นได้บนโต๊ะอาหารของคนไทยบ่อยๆ แต่ทุกคนรู้มั๊ยครับว่า ฝักกระเจี๊ยบเขียวก็เอามาทำกิมจิได้อร่อยเหมือนกันครับ
ดูวิธีทำกิมจิกระเจี๊ยบ กดคลิกที่คลิปด้านล่างได้เลยครับ
สนใจสั่งซื้อ ส่วนผสมสำหรับทำกิมจิกระเจี๊ยบคลิกปุ่มด้านล่างได้เลยครับ
สารบัญ
ส่วนผสม
– ฝักกระเจี๊ยบเขียวสด 450 กรัม
– เกลือ 60 กรัม
– งาขาวคั่ว ปริมาณตามใจชอบ
– ซอสสำหรับทำกิมจิ ตรามิสเตอร์เคกิมจิ 150 กรัม
หรือดูวิธีทำซอสกิมจิด้วยตัวเอง คลิ๊กด้านล่างได้เลยครับ
เรียน ทำซอสกิมจิ ฟรี !
เปิดเผย 4 สูตรลับ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของการทำกิมจิสูตรการทำ ซอสทำกิมจิ 4 สูตร ทำทานได้ ทำขายดี คลิกอ่านเคล็ดลับ สูตรเงินล้านก่อนใคร
วิธีทำ
1.) นำฝักกระเจี๊ยบเขียวไปตัดหัวตัดท้ายออก
2.)จากนั้นนำมาหั่นเป็นท่อนๆ ยาวประมาณ 1 นิ้ว ก็จะเหลือกระเจี๊ยบที่ใช้จริงอยู่ประมาณ 350 กรัมครับ
3.) นำกระเจี๊ยบเขียวที่หั่นแล้วไปล้างให้สะอาด
4.) จากนั้นตั้งน้ำเปล่า ต้มน้ำให้เดือด
5.) ใส่เกลือลงไป 60 กรัม แล้วคนให้เกลือละลายหมด
6.) นำฝักกระเจี๊ยบเขียวที่เตรียมไว้ลงไปลวกประมาณ 3 – 5 วินาที ลงแล้วรีบนำขึ้นเลย
7.) ขั้นตอนนี้ระวังอย่างลวกนานเกินไป เพราะจะทำให้กระเจี๊ยบเขียวเละตอนที่หมักได้ครับ
8.) นำกระเจี๊ยบเขียวที่ลวกแล้วมาล้างด้วยน้ำสะอาดประมาณ 3 รอบ เพื่อหยุดการสุกของกระเจี๊ยบ และล้างความเค็มของเกลือออกไป
9.) นำกระเจี๊ยบที่ล้างน้ำเสร็จมาบีบน้ำออกจากเนื้อกระเจี๊ยบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
10.) ใส่ซอสกิมจิตรามิสเตอร์เคกิมจิ 150 กรัมลงไป และคลุกเคล้าให้เข้ากัน
11.) นำส่วนผสมที่คลุกเคล้าเข้ากันแล้วใส่ลงไปในกระปุก
12.) โรยหน้าด้วยงาขาว ปริมาณตามใจชอบ
12.) จากนั้นปิดฝาให้สนิท
13.) เก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดา 3-5 วันก็นำมารับประทานได้เแล้วครับ หรือถ้าใครไม่ชอบทานกิมจิที่เปรี้ยวมาก จะเก็บไว้แค่วันเดียวก็ได้ครับ
และกิมจิสามารถเก็บไว้ได้นานแค่ไหน สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยครับ
สำหรับกิมจิกระเจี๊ยบเขียวจะมีเมือกของกระเจี๊ยบออกมาบ้าง แต่สามารถรับประทานได้ไม่เป็นอันตราย และไม่ใช่กิมจิเสียแต่อย่างใดครับ
แต่ถ้าหากสงสัยว่า กิมจิเสียหรือไม่ สามารถอ่านเพิ่มเติมโยคลิ๊กที่ลิงค์ด้างล่าได้เลยครับ
เคล็ดลับความอร่อยที่สำคัญ
เคล็ดลับที่ 1 การหั่นกระเจี๊ยบเป็นท่อนๆก่อนที่จะนำมาทำเป็นกิมจิกระเจี๊ยบเขียว จะช่วยให้สามารถยางของกระเจี๊ยบลดลงได้มากกกว่านำมาทำทั้งฝัก เพราะยางบางส่วนถูกชำระออกไปในขั้นตอนการลวกและล้างน้ำ
เคล็ดลับที่ 2 นอกจากจะช่วยลดยางของกระเจี๊ยบแล้ว การหั่นกระเจี๊ยบเขียวเป็นท่อน ยังช่วยให้ซอสกิมจิซึมเข้าไปในเนื้อกระเจี๊ยบเขียวได้ดีขึ้นอีกด้วย ทำให้กิมจิของเรามีรสชาติที่ดีมากขึ้น
เคล็ดลับที่ 3 การลวกกระเจี๊ยบก่อนที่จะนำมาทำกิมจิ จะช่วยลดกลิ่นเหม็นเขียวของกระเจี๊ยบออกไป ทำให้รับประทานได้ง่ายขึ้น
สำหรับเคล็ดลับการทำให้กิมจิมีรสชาติกลมกล่อมถูกใจสามารถ
กระเจี๊ยบในภาษาอื่น ๆ เรียกว่าอะไร?
ในภาษาเกาหลีจิมจิกระเจี๊ยบ เรียกว่า 오크라김치 หรือคำอ่านในภาษาไทย ออกเสียงว่า (โอ-กึ-รา-กิม-จิ) ซึ่งในภาษาเกาหลี 오크라 แปลว่า “กระเจี๊ยบเขียว” หรือในภาษาอังกฤษ เรียกว่า Okra หรือ lady’s finger
ในภาษาไทยเองยังมีชื่อเรียกที่ต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น เช่น มะเขือมอญ หรือ กระต๊าด (ภาคกลาง) มะเขือพม่า (ภาคเหนือ) เป็นต้น
ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียว
กระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชที่มีประโยชน์มากตั้งส่วนรากจนถึงตัวฝักเลยทีเดียว เพราะมีวิตามินและแร่ธาตุหลากหลาย รวมถึงมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
โดยเฉพาะตัวฝักที่เราเอามาทำกิมจิ เป็นส่วนที่มีกากใยอยู่มากจึงมีส่วนช่วยในการรักษาระดับน้ำตาลและโคเลสเตอรอลในเลือด
บทความพิเศษ
วิธีการทำกิมจิฉบับสมบูรณ์ ที่รวมทั้งการทำซอสกิมจิ 4 แบบ และ วิธีการกิมจิกว่า 10 ชนิด คำถามที่พบบ่อย และทุกๆ เรื่องที่เกี่ยวกับกิมจิ
เมือกลื่นๆของฝักกกระเจี๊ยบเขียวมีส่วนช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร ช่วยให้เยื่อบุกระเบาะอาหารไม่ระคายเคือง จึงช่วยบรรเทาอาการปวดท้องจากอาการเยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบได้
ดังนั้น หากนำผักที่มีประโยชน์มากอย่ากระเจี๊ยบเขียวมาหมักเป็นกิมจิ เราก็จะได้ประโยชน์ของกิมจิเพิ่มไปด้วย โดยอ่านประโยชน์ของกิมจิได้ที่ลิงค์ด้านล่างได้เลยครับ
เมื่ออากาศร้อนจะทำให้ร่างกายสูญเสียโพแทสเซียมปริมาณมากทางเหงื่อ ทำให้มีอาการอ่อนเพลีย การทานกิมจิกระเจี๊ยบเขียวในช่วงฤดูร้อนสามารถบรรเทาอาการโพแทสเซียมต่ำได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ดี งานวิจัยต่างๆเกี่ยวกับสรรพคุณของกระเจี๊ยบเขียวเป็นเพียงการทดลองในสัตว์เท่านั้น ยังไม่มีผลการทดลองในมนุษย์โดยตรง ดังนั้นจึงยังไม่ควรบริโภคกระเจี๊ยบโดยหวังผลว่าจะใช้แทนยารักษาโรคนะครับ
ต้นกำเนิดของกระเจี๊ยบเขียว
ยังไม่มีหลักฐานที่แน่นอนว่ากระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดมาจากที่ใด แต่คาดว่าอาจจะอยู่ในบริเวณแอฟริกาตะวันตก เอธิโอเปีย เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
กระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศแบบกึ่งร้อนและแบบอบอุ่น ในปัจจุบันนิยมปลูกในตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา บราซิล ตะวันออกกลาง อินเดีย และศรีลังกา
ส่วนในประเทศไทยพื้นที่ที่มีการปลูกกระเจี๊ยบเขียวเชิงพาณิชย์จำนวนมาก จะกระจายอยู่ในจังหวัดแถบภาคกลาง เช่น นครปฐม ปทุมธานี สุพรรณบุรี นนทบุรี สมุทรสาคร และ นครนายก
กิมจิกระเจี๊ยบเขียวทานกับอะไรดี
กิมจิกระเจี๊ยบเขียวสามารถทานเป็นเครื่องเคียงกับอาหารเกาหลีได้แทบทุกชนิด หรือแม้แต่ทานเปล่าๆคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ก็เข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
และยังสามารถนำมาทานกับ 2 เมนูอาหารเกาเหลียอดฮิตในประเทศไทย อย่าง บิบิมบับ (ข้าวยำเกาหลี) หรือ จาจังมยอน (บะหมี่แห้งซอสถั่วดำ) ด้วยความกรุบกรอบของกระเจี๊ยบเขียว จะช่วยเสริมให้ทั้ง 2 เมนูอร่อยมากยิ่งขึ้นนั่นเองครับ
นอกจากคำถามว่าจะทานกิมจิกับอะไรดี แล้วก็ยังมีคำถามอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับกิมจิอีกมากมาย ซึ่งเราได้รวบรวมคำตอบมาไว้ให้แล้ว สามารถคลิ๊กด้านล่างได้เลยครับ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกิมจิ
กิมจิเสียเป็นยังไง มีอายุกี่วัน มีประโยชน์แค่ไหน มีโทษอย่างไร รสชาติเป็นแบบไหน เปรี้ยวกินได้ไหม เค็มไปทำยังไงดี ทุกคำถาม มีคำตอบ คลิกอ่านบทความด้านล่างได้เลยครับ
สรุป
• ขั้นตอนการลวกและล้างกระเจี๊ยบเขียวช่วยลดยางและกลิ่นเหม็นเขียวของฝักกระเจี๊ยบเขียวได้
• การหั่นกระเจี๊ยบเป็นท่อนๆช่วยให้ซอสกิมจิแทรกเข้าไปในเนื้อกระเจี๊ยบเขียวได้ดี ทำให้กิมจิมีรสชาติดีขึ้น
• กระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชสมุนไพรที่มีรสชาติดี กรุบกรอบและประโยชน์มาก เพราะอุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ
• สำหรับซอสกิมจิยังสามารถเอามาทำกิมจิได้อีกหลายชนิด สามารถติดตามดูวิธีทำกิมจิชนิดอื่นๆ ในเว็บไซต์ของเราได้ที่ลิงค์ด้านล่างเลยครับ
วิธีการทำกิมจิ โดยใช้ซอสกิมจิ
เปิดเผยเคล็ดการทำกิมจิกว่า 15 ชนิด ทำทานได้ ทำขายดี คลิกอ่านก่อนใคร
Chef OJ
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการทำอาหาร ประสบการณ์การเป็นเชฟมืออาชีพมากกว่า 10 ปีในประเทศออสเตรเลีย Chef | Recipes | Cooking